วันจันทร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554

ภัยใกล้ตัว

มลพิษและสารเคมีในบ้าน-ที่ทำงาน ผลกระทบระบบการหายใจ

ใน แต่ละปีประเทศไทยมีผู้ป่วยด้วยโรคภูมิแพ้กว่า 6 ล้านคน อันเนื่องมาจากสภาวะสิ่งแวดล้อมที่มีมลพิษมากขึ้น มลภาวะทางอากาศ และอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวกในบ้านและที่ทำงานหลายชนิดที่มีสารเคมีก่อ ปัญหาต่อสุขภาพ หลายคนอาจไม่ทราบว่าในบ้านหรือที่ทำงานนั้น มีมลพิษและสารเคมีอยู่รอบตัวโดยที่เรามองไม่เห็น ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคระบบการหายใจต่างๆ


ศาสตราจารย์นายแพทย์ อรรถ นานา
ศาสตราจารย์นายแพทย์ อรรถ นานา นายกสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ มลพิษและสารเคมีในบ้านและที่ทำงาน ซึ่งมีผลกระทบต่อโรคภูมิแพ้ ว่า ภูมิแพ้ คือ โรคระบบการหายใจอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ที่มีอาการไวผิดปกติต่อสิ่งซึ่ง สามารถก่อให้เกิดภูมิแพ้ (Allergen) โรคภูมิแพ้เกิดได้ทุกเพศทุกวัย ตัวการที่ทำให้เกิดอาการแพ้ เรียกกว่า สารก่อภูมิแพ้ (Allergens) สารก่อภูมิแพ้ที่พบได้บ่อย เช่น ตัวไรฝุ่น มักปะปนอยู่ในฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 0.3 มม. มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า พบมากในที่ๆ มีความชื้นสูง พบร่วมกับฝุ่นที่มาจากเสื่อ หมอน แม้ว่าบ้านสะอาดเพียงไรก็ไม่สามารถกำจัดไรฝุ่นได้หมด แต่ถ้าใช้เครื่องกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพสูงก็สามารถลดไรฝุ่นได้

เชื้อ รา มักปะปนอยู่ในบรรยากาศ ตามห้องที่มีลักษณะอับชื้น หรือภายในอาคาร หรือบ้านที่เปิดเครื่องปรับ อากาศตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่ไม่ได้ทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศสม่ำเสมอ เชื้อรายังเติบโตในถาดรองน้ำของเครื่องปรับอากาศ และหมุนเวียนอยู่ในห้องนานนับเดือนนับปี ทำให้สุขภาพของคนทำงานอ่อนแอลง เจ็บป่วยง่าย และภูมิต้านทานต่ำ

แมลง ต่างๆ ที่มักอาศัยอยู่ภายในบ้าน เช่น แมลงสาบ แมงมุม มด ยุง ปลวก และแมลงที่อาศัยอยู่นอกบ้าน เช่น ผึ้ง แตน ต่อ มดนานาชนิด เป็นต้น เศษผงขนาดเล็กที่มาจากแมลงเหล่านี้จะฟุ้งกระจายภายในห้อง และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

เกสรดอก หญ้า, ดอกไม้, ตอกข้าว และ วัชพืช สิ่งเหล่านี้มักปลิวอยู่ในอากาศตามกระแสลม ซึ่งสามารถพัดลอยไปได้ไกลๆ หรืออาจเป็นลักษณะขุยๆ ติดตามมุ้งลวดหน้าต่าง เกสรดอกหญ้าที่ปลิวมาตามสายลม


ขน สัตว์ ขนของสัตว์เลี้ยงเป็นต้นเหตุของโรคภูมิแพ้ เช่น ขนแมว ขนสุนัข ขนนก ขนเป็ด ขนสัตว์ที่ตากแห้งซึ่งใช้บรรจุยัดที่นอนและหมอน สำหรับนุ่น ฟองน้ำ ยางพารา ใยมะพร้าว เมื่อใช้ไปเป็นระยะเวลานานก็จะสามารถเป็นสารก่อภูมิแพ้

ส่วน สารเคมีต่างๆ ในบ้าน และที่ทำงานจากอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ และสิ่งแวดล้อมเป็นสาเหตุต่อโรคระบบการหายใจซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ของประชาชน เช่น สารแอมโมเนีย มีสถานะเป็นของเหลวหรือก๊าซ เป็นสารที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ละลายได้ดีในน้ำ ในแอลกอฮอล์ และในดีเทอร์ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในอุตสาหกรรมอลูมิเนียม, ห้องปฏิบัติการเคมี, ทำสีย้อมผ้า, ทำปุ๋ย, ทำกาว, ฉาบด้านหลังกระจกเงา, ตู้เย็น และกำมะถัน นอกจากนี้ยังเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในบุหรี่อีกด้วย แอมโมเนียจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูกโดยการหายใจ มีอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งจะทำให้เป็นโรคปอดบวม ถุงลมโป่งพอง และ หลอดลมอักเสบ

สาร แอสแบสตอส เป็นแร่ประเภทเส้นใย ใช้ในกิจการอุตสาหกรรมเส้นใยแอสแบสตอส ผลิตวัสดุป้องกันความร้อน และผลิตกระเบื้อง แอสแบสตอสสามารถเข้าสู่ร่างกายได้โดยทางจมูก ซึ่งถ้าสูดดมฝุ่นแอสแบสตอสเข้าไปเป็นเวลานาน จะมีอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้ปอดแข็ง หอบ เหนื่อยง่าย ไอเรื้อรัง น้ำหนักลด เจ็บหน้าอก ก่อให้เกิดโรคมะเร็งเยื่อหุ้มปอด และโรคมะเร็งปอด


สาร เรดอน เป็นแร่ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เป็นสารกัมมันตภาพรังสี ก๊าซเรดอน สามารถเดินทางไปตามพื้นดินเข้าไปในอาคารและบ้านผ่านรอยแตกของบ้านหรืออาคาร เมื่อสูดดมสารเรดอนเข้าไปเป็นเวลานานจะทำให้เป็นโรคมะเร็งปอด หนทางป้องกันก๊าซเรดอนคือ ใช้ผ้ายางพิเศษปูพื้น เพื่อกันการระเหย หรือติดตั้งระบบระบายอากาศอย่างเพียงพอ

สารฟอร์มาลดี ไฮด์ เป็นสารที่มาจากเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน หรือสีทาบ้าน เมื่อเกิดการระเหยแล้วทำให้เป็นพิษต่อสุขภาพ หากสูดดมเข้าไปไม่ได้ทำให้เป็นมะเร็งโดยตรง แต่ทำให้เกิดการอักเสบของปอด และเมื่อปอดเป็นแผลเป็นมากๆ ก็จะมีโอกาศเป็นมะเร็งปอด

วิธี การป้องกันสารมลพิษ คือ หลีกเลี่ยงใช้งานเครื่องนอน พรม และเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากเส้นใยซึ่งมีอายุหลายปี เพื่อลดความเสี่ยงที่ต้องสัมผัสกับไรฝุ่น เลือกใช้ข้าวของที่เคลือบด้วยสารป้องกันไรฝุ่น การเช็ดล้างหรือดูดฝุ่นทำความสะอาดสม่ำเสมอ เป็นอีกวิธีที่สามารถไล่ไรฝุ่นได้ระดับหนึ่ง การซักเครื่องนอนเป็นประจำด้วยน้ำที่มีอุณหภูมิอย่างน้อย 55 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่สามารถฆ่าไรฝุ่นและกำจัดสารภูมิแพ้จากไรฝุ่นได้ดี หรือตากแดดเพื่อให้ไข่ไรฝุ่นที่ฝังตัวอยู่กับเครื่องนอนฝ่อได้ด้วย ส่วนสารเคมีต่างๆ เราสามารถป้องกันได้ โดย ไม่เข้าใกล้หรือสูดดมสารเคมีเหล่านี้ ผู้ที่ต้องทำงานกับสารเคมีควรตรวจและรักษาสุขภาพสม่ำเสมอ และควรจัดสถานที่ที่บ้าน ตลอดจนสถานที่ทำงานให้ปลอดภัยไม่ประมาทในขณะทำงาน และเก็บรักษาสารพิษในที่ปลอดภัย เป็นต้น


ศจ.นายแพทย์ อรรถ นานา กล่าวเพิ่มเติมว่า “มลพิษและสารเคมีในบ้านและที่ทำงานนั้นเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวและไม่ควร ละเลย เนื่องจากมีผลกระทบอย่างสูงต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน ทั้งคนทำงานและสมาชิกในครอบครัว

ทำให้แนวโน้มของผู้ ป่วยโรคระบบการหายใจเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น เราควรใส่ใจ ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมภายในบ้านและที่ทำงานเพื่อความปลอดภัยและสุขภาพ ที่ดี ในขณะนี้ทางสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมโรคระบบการหายใจภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ 13 19-22 พฤศจิกายน 2551นี้ ซึ่งอยู่ในระหว่างการเตรียมงาน ในขณะนี้มีความคืบหน้า คือ เราได้เตรียมการสถานที่จัดประชุม ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และที่พักโรงแรม กว่า 2,000 ห้องเพื่อรองรับผู้จะเข้าร่วมประชุมกว่า 2,000 คน จากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก

ใน การประชุมครั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพชั้นนำของโลกจะมาแลกเปลี่ยนข้อ คิดเห็นในเรื่องโรคระบบการหายใจ รวมถึงนวัตกรรมทางการแพทย์ใหม่ๆ ในการรักษาผู้ป่วยโรคนี้ เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น”

กาแฟมีประโยชน์ หรือโทษกันแน่

คาเฟอีนในกาแฟ มีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด


คาเฟอีนในกาแฟ มีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด คาเฟอีนมีผลต่ออารมณ์หลายคนเลือกดื่มกาแฟเมื่อ ต้องทำงานยอมดึก คาเฟอีนจะกระตุ้นให้ร่างกาย และ สมองตื่นตัวอยู่เสมอ แม้เวลาผ่านไปดึกดื่นแค่ไหนก็ไม่รู้สึกเหนื่อยเพลียหรือง่วงนอนแต่ผลวิจัย ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า จำนวนคาเฟอีนที่ส่งผลดีกับการทำงานของร่างกายต้องไม่เกิน 20 มิลลิกรัมต่อชั่วโมง ซึ่งถือว่ามาตราฐานนักวิจัยยังเห็นด้วยกับการดื่มกาแฟในตอนเช้าเพื่อเริ่ม ต้นวันใหม่อย่างกระฉับกระเฉง แต่ไม่ควรเกิน 200 มิลลิกรัม หรือ ประมาณ 2 แก้วครึ่ง เพราะ จะทำให้ประสาทตึง และ หย่อนสมรรถภาพ ทำให้ความดันเลือดสูงชั่วคราว หรือ รู้สึกใจสั่น โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาด้านอารมณ์ คาเฟอีนจะยิ่งทำให้รู้สึกกระวนกระวายใจแคลอรีนในคาเฟอีนคาเฟอีนมีผลต่อ ฮอร์โมนอะดรีนาลินในผู้ที่เล่นกีฬา ขณะเดียวกันก็ทำให้ร่างกายตื่นตัวและมีพลัง ดังนั้นแนะนำให้ดื่มกาแฟหนึ่งแก้วใหญ่ (คาเฟอีน 100 มิลลิกรัม ) ก่อนออกกำลังประมาณครึ่งชั่วโมง ช่วยทำให้กระชุ่มกระชวย แต่ไม่ทำให้ใจสั่นการดื่มกาแฟโดยไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหนัก ควนผสมนมไขมันต่ำ หรือ นมถัวเหลือง ลดจำนวนน้ำตาลลง เพียงเท่านี้ก็สามารถจำกัดแคลอรีให้ลดลงได้ประมาณ 50 แคลอรีต่อวันป้องกันโรคด้วยคาเฟอีนคาเฟอีนไม่ได้มีผลในการป้องกันโรค แต่เครื่องดื่มคาเฟอีนที่มีสารแอนติออกซิแดนท์ เช่น ชาดำ หรือ ชาเขียว กลับช่วยป้องกันโรคทางลำไส้ และต้านอนุมูลอิสระได้มากกว่าผัก และผลไม้หลายชนิด การดื่มชาดำยังช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเช่นโรคหัวใจ และ เส้นเลือดอุดตัน ในขณะที่น้ำชาปราศจากคาเฟอีนไม่ได้ช่วยลดอัตราการเสี่ยงต่อโรคดังกล่าวผลการ ศึกษาเรื่องคาเฟอีนจากสถาบันวิจัยหลายแห่งพบว่า ประโยชน์ของชา และ กาแฟมีเท่า ๆ กันกาแฟช่วยปรับให้ระดับอินซูลินคงที่และลดอัตราการเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบา หวานชนิดที่ 2 , โรคพาร์กินสัน, และ มะเร็งที่สำไส้อีกด้วยคาเฟอีนยังมีประสิทธิภาพทำให้เส้นเลือดที่ขยายออกหด ตัวกลับสู่ภาวะปกติบรรดายาแก้ปวดทั้งหายจึงมีส่วนผสมของคาเฟอีนเพื่อช่วยลด การปวดไมเกรน หรือ ปวดศรีษะทั่วไป ขณะเดียวกันก็ทำให้เสพติด แม้จะไม่หนักหนาเหมือนยาเสพติดชนิดอื่น ๆ แต่เมื่อไรที่รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า หรือ ปวดหัว คนจะหันไปพึ่งคาเฟอีนเสมอ และ ในปริมาณที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ผลข้างเคียงที่ตามมาคือ ใจสั่น สมาธิสั้นคลื่นไส้ อาเจียน กล้ามเนื้อตึงและปวด และ อาจทำให้ปวดไมเกรนได้

อย่า!กลืนกินยาสีฟันนะ

     อย่ากลืนกินยาสีฟันนะ!

 เพราะส่วนผสมของยาสีฟันที่หากเราได้รับเข้าสู่ร่างกายมากเกินไปนั้น จะเป็นอันตราย
มีอยู่หลายชนิด...ดูซิว่ามีอะไรบ้าง


Formaldehyde หรือฟอร์มาลีน ใช้ฆ่าเชื้อโรค มากเกินไปอาจทำให้ตับและไตพังก่อนเวลา
Peppermint Oil น้ำมัน สาระแหน่ ทำให้ยาสีฟันมีรสชาติดีขึ้น เมื่อสูดดมทำให้โล่งจมูก รู้สึกสดชื่น  หากกลืนกินมากๆจะทำให้ชีพจรปั่นป่วน Paraffin พาราฟิน หรือ เคโรซีน เป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเลี่ยมซึ่งกลั่นแยกออกจากน้ำมันดิบ ช่วยในกสรเคลือบผิว เพิ่มความชุ่มชื้น ช่วยขจัดคราบสกปรก โดยหากกลืนสารนี้มากไปอาจเกิดอาการปวดท้องคลื่นไส้อาเจียร และท้องผูกอย่างรุนแรง

           



วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

บริษัทของคุณ...ผ่านมาตรฐานระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมแล้วรึยัง????

ระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม (ISO 14001) คืออะไรหรือ??

                 ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม มอก. 14001:2548 (ISO 14001: 2004) Environmental Management System (ISO 14001:2004) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้องค์กรมีความตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการสิ่งแวด ล้อมเพื่อให้เกิดการพัฒนาสิ่งแวดล้อมควบคู่กับการพัฒนาธุรกิจ โดยมุ่งเน้นในการป้องกันมลพิษ (Prevention of Pollution) และการปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง การนำระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO 14001:2004 มาใช้จะก่อให้เกิดประโยชน์กับองค์กรในการลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับวัตถุดิบและพลังงาน และการบำบัดมลพิษ
ทุกวันนี้ระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ISO 14001 เป็นระบบซึ่งเป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายในระดับนานาชาติ โดยระบบมาตรฐาน ISO 14001 มีการกำหนดโครงสร้างขององค์กรและความรับผิดชอบที่มีความจำเป็นในการบริหาร จัดการให้บรรลุตามเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัท นอกจากนี้ระบบ ISO 14001 จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากผู้บริหารระดับสูงและต้องมีการนำไปปฏิบัติในทุกระดับขององค์กร
จากข้อตกลงทางการค้าและภาษี (General Agreement on Tariffs and Trade - GATT) คาดหวังว่ามาตรฐาน ISO 14001 จะกลายเป็นสิ่งจำเป็นประการแรกที่องค์กร/บริษัทต่างๆทั่วโลกต้องมีเพื่อ ประกอบการดำเนินธุรกิจ ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าแรงขับทางการตลาดจะเป็นสิ่งผลักดันให้เกิดการยอมรับใน มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม มาตรฐานนี้
รูปแบบขั้นตอนการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมตามระบบมาตรฐาน ISO 14001 
  1. การกำหนดนโยบายสิ่งแวดล้อม ที่ถูกกำหนดหรือได้รับความเห็นชอบมาจากผู้บริหารระดับสูงขององค์กร ถือเป็นการให้คำมั่นสัญญาหรือคำปฏิญาณขององค์กรที่จะดำเนินงานด้านการจัดการ สิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบและถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีการกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาและปรับปรุงระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมขององค์กรอย่างต่อ เนื่อง เช่น  การแต่งตั้งตัวแทนของฝ่ายบริหารด้านสิ่งแวดล้อม (environmental management Representative, EMR) และคณะทำงานด้านสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ด้านอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ และด้านงบประมาณ เป็นต้น
     
  2. การวางแผนการจัดการ เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่มีความสำคัญในการดำเนินงาน เนื่องจากลักษณะขององค์กรแต่ละประเภทที่นำเอาระบบมาตรฐาน ISO 14001 ไปใช้นั้นมีความแตกต่างกันทั้งรูปแบบโครงสร้างขององค์กร การบริหารจัดการ กระบวนการผลิต กระบวนการทำงาน วิธีการปฏิบัติงาน วัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ ฯลฯ ทั้งนี้ การวางแผนการจัดการต่างๆ ต้องสอดคล้องกับนโยบายสิ่งแวดล้อมขององค์กรด้วย 
  3. การนำไปใช้และการปฏิบัติ ขั้นตอนนี้มักประสบปัญหาอยู่เสมอ เนื่องจากการจะนำระบบมาตรฐาน ISO 14001(บทความนี้มาจาก eThaiTrade.com) หรือระบบมาตรฐานอย่างใดอย่างหนึ่งเข้าไปพัฒนาหรือปรับปรุงองค์กรจะก่อให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม/ลักษณะการทำงานหรือกิจวัตรการทำงานที่ดำเนิน งานอยู่เป็นประจำเป็นเวลานาน จึงมักจะเกิดปัญหาความขัดแย้งและเกิดการต่อต้านจากผู้ปฏิบัติงานอยู่เสมอ  วิธีการแก้ปัญหาคือใช้วิธีอบรมให้ความรู้ ทำความเข้าใจ และปลุกจิตสำนึกในด้านการป้องกันและรักษาสภาพแวดล้อมในพื้นที่ทำงานใกล้ตัว รวมทั้งอธิบายถึงข้อดีและข้อเสียจากการปฏิบัติงานที่ถูกต้องหรือผิดหลัก วิชาการ ดังนั้นความร่วมมือจากทุกฝ่ายในการดำเนินงาน และการสนับสนุนอย่างจริงจังจากผู้บริหารระดับสูงขององค์กรเป็นสิ่งสำคัญมาก ในการปรับเปลี่ยนหรือแก้ไขพฤติกรรม/หรือลักษณะการทำงานที่ก่อให้เกิดผลกระทบ สิ่งแวดล้อมภายในองค์กรได้รับการปรับปรุงและแก้ไขให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ และเป็นไปตามระบบมาตรฐาน ISO 14001 ซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลาในการปรับตัวพอสมควร
     
  4. การตรวจสอบและแก้ไข เป็นขั้นตอนที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาจากการนำระบบมาตรฐาน ISO 14001 ไปใช้หรือปฏิบัติในองค์กรไปแล้วเป็นระยะหนึ่งอย่างเหมาะสม การติดตามตรวจสอบที่สำคัญก็คือ การติดตามตรวจสอบภายในองค์กร (environmental internal audit) ต่อเนื่องเป็นประจำ โดยผลที่ได้จากการติดตามตรวจสอบจะถูกนำมาวิเคราะห์และนำเสนอให้ผู้บริหาร ระดับสูงขององค์กรรับทราบและตัดสินใจในการกำหนดวิธีการป้องกันและแก้ไขใน ด้านต่างๆ เพื่อให้การดำเนินงานขององค์กรไม่ก่อให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม หลาย องค์กรมักจะเข้าใจผิดว่าการดำเนินงานตามขั้นตอนนี้เป็นการหาผู้กระทำผิดภาย ในองค์กร แต่แท้จริงๆ แล้วปัญหาที่เกิดขึ้นอาจจะไม่ได้มาจากปัญหาเรื่องคนเป็นสำคัญ โดยอาจจะเกิดจากปัญหาอื่นๆ เช่น ปัญหาจากกระบวนการวางแผนการผลิต การกำหนดวิธีการหรือขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ไม่เหมาะสมกับพื้นที่หรือสภาพ งาน ฯลฯ ดังนั้นการตรวจสอบและแก้ไขสิ่งที่บกพร่องและไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของระบบ มาตรฐาน ISO 14001 จึงเป็นเพียงกระบวนการแก้ไขและปรับเปลี่ยนขั้นตอนการทำงานให้เหมาะสมและสอด คล้องกับข้อกำหนดเท่านั้น
     
  5. การทบทวนการจัดการ เป็นขั้นตอนที่นำผลจากการติดตามตรวจสอบและตรวจพบในขั้นตอนต่างๆ ของกระบวนการทำงานมาพิจารณาปรับปรุงให้เหมาะสมกับองค์กรและเป็นไปตามข้อ กำหนดของระบบมาตรฐาน ISO 14001 ที่กำหนดไว้ โดยขั้นตอนการทบทวนการจัดการสิ่งแวดล้อมขององค์กรนี้ส่วนใหญ่จะกำหนดให้ EMR นำประเด็นต่างๆ ที่ตรวจพบในระบบทั้งหมดเสนอต่อผู้บริหารระดับสูงขององค์กรในการประชุมเป็น ประจำสม่ำเสมอ 
ทั้งนี้ผู้บริหารระดับสูงต้องทำหน้าที่ในการพิจารณาผลการดำเนินงาน ปัญหาที่พบและวิธีการแก้ไขปัญหาในระบบมาตรฐาน ISO 14001 รวมถึงการติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบาย วัตถุประสงค์ และเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแต่ละปีการจัดการสิ่งแวดล้อมตามระบบมาตรฐาน ISO 14001 จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กรทั้งในรูปของการลดของเสียที่เกิดขึ้น จากกระบวนการผลิต และการใช้ทรัพยากรหรือวัตถุดิบต่างๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จะส่งผลให้องค์กรได้รับประโยชน์ทางอ้อมในด้านการลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มมูลค่า ของผลิตภัณฑ์อีกด้วย

 

BOI คืออะไร????

     การส่งเสริมการลงทุน BOI คืออะไร?????

       สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) : Borad of Investment (BOI)  คือ หน่วยงานที่ช่วยในการส่งเสริมการลงทุน โดยให้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีอากร เช่น การยกเว้น/ลดหย่อนภาษีเงินได้นิตบุคคล การยกเว้น/ลดหย่อนอากรขาเข้าเครื่องจักร และวัตถุดิบ/วัสดุจำเป็น และสิทธิประโยขน์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาษีอากรเช่น การบริการอำนวยความสะดวก แก่นักลงทุนในการดำเนินการ
นโยบายของ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) : Borad of Investment (BOI
  • สนับสนุนอุตสาหกรรมการเกษตรไทย  เพื่อสิทธิประโยชทางภาษีพิเศษเพื่อส่งเสริม สนับสนุนแล้วเสริมสร้างพัฒนาอุตสาหกรรมการเกษตรไทยอย่างครบวงจร
  • ส่งเสริมเพื่อพัฒนาทักษะ เทคโนโลยีและนวัตกรรม Skill Technology & Innovation-STI) โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีแก่โครงการที่มีการพัฒนาด้าน STI เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
  • ส่งเสริมกิจการซอฟแวร์ มีการปรับประเภทกิจการซอฟต์แวร์ใหม่โดยเน้นการให้การส่งเสริมเป็นกลุ่ม ธุรกิจ แทนที่จะเป็นลักษณะการทำงาน (Activity Group) เพื่อดึงดูดกลุ่มธุรกิจซอฟต์แวร์ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาซอฟต์แวร์ของ ประเทศในอนาคตเพิ่อเพิ่มสิทธิประโยชน์
  • ส่งเสริมสนับสนุน SMEs ไทย  โดย BOI ปรับบทบาทการส่งเสริมการลงทุนแก่ SMEs ไทย ตามยุทธศาสตร์การพัฒนา SMEs ของรัฐบาลเพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีและลดเงื่อนไขให้เอื้ออำนวยแก่ กิจการเกษตรแปรรูป และอุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ที่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์ พิเศษสำหรับ SMEs ที่มีสินทรัพย์ถาวรสุทธิหรือขนาดการลงทุน (ไม่รวมที่ดินและทุนหมุนเวียน) รวมทั้งบริษัท ไม่เกิน 200 ล้านบาท
  • เพิ่มประสิทธิภาพและความคุ่มค่าในการใช้สิทธิและประโยชน์ทางภาษีอากร
  • สนับสนุนให้อุตสาหกรรมพัฒนา ระบบคุณภาพและมาตรฐาน ISO หรือมาตรฐานสากลอื่นที่เทียบเท่า
  • ปรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนให้สอดคล้องกับข้อตกลงด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ
  • สนับสนุนการลงทุนเป็นพิเศษในภูมิภาคหรือท้องถิ่นที่มีรายได้ต่ำ และมีสิ่งเอื้ออำนวยต่อการลงทุนน้อย โดยให้สิทธิและประโยชน์ด้านอากรสูงสุด
  • ให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม เงินลงทุนขั้นต่ำของโครงการที่จะได้รับการส่งเสริมเพียง 500,000 (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) และไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) สำหรับกิจการอื่น
  • ให้ความสำคัญกับกิจการเกษตรกรรมและผลผลิตจากการเกษตร กิจการพัฒนาเทคโนโลยีและทรัพยากรมนุษย์ กิจการสาธารณูปโภคและบริการพิ้นฐาน กิจการป้องกันรักษาสิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรมเป้าหมาย เป็นต้น

พลาสติดรีไซเคิลเป็นน้ำมันดิบ

จับพลาสติกรีไซเคิลเป็นน้ำมันดิบ Turning Plastic Waste Into Crude Oil

              ปัจจุบันประเทศไทย มีขยะพลาสติกประมาณปีละ 2.7 ล้านตัน แต่สามารถนำไปรีไซเคิลได้เพียง 0.2 ล้านตันเท่านั้น ที่เหลือนั้นจะนำไปทำงายโดยการฝัง การเผา ถือเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างมาก ดังนั้นจึงมีผู้คิดค้นนวัตกรรมใหม่ทีสามารถแปรรูปขยะพลาสติกให้เป็นน้ำมัน ดิบ โดยตระหนักว่านับวันปัญหาขยะพลาสติกจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประโยชน์จากการกระบวนการแปรรูปขยะพลาสติกให้ออกมาในรูปของน้ำมันดิบจะมี ผล ทำให้ลดการเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศ โดยปัจจุบันไทยเราต้องสั่งนำเข้านับแสนล้านบาทต่อปี รวมถึงยังลดปัญหาด้านการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศได้อีกทางหนึ่ง
คุณสันติวิภา พานิชกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิ้ลเกิ้ล พอยท์ เอ็นเนอยี่ แอนด์ เอ็นไวรอนเมนท์ จำกัด หรือ เอสพีอีอี ให้สัมภาษณ์กับทางนิตยสาร “Asia-Pacific PLAS & PACK” ว่า ปัจจุบันมีการใช้พลาสติกทั่วโลกถึง ปีละประมาณ 100 ล้านตันและมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสาเหตุเกิดมาจากการใช้ในภาคอุตสาหกรรม การเกษตร การแพทย์ และด้านอื่นๆ อีกมากมาย ในส่วนพลาสติกที่ใช้แล้วนั้น ต้องใช้เวลาถึง 500 ล้านปีถึงจะย่อยสลาย ทำให้ทั่วโลกต้องเผชิญกับปัญหาขยะพลาสติกที่ล้นเมือง ประเทศไทยก็เช่นเดียวกันมีหลายฝ่ายที่กำลังร่วมมือกันเพื่อหาแนวทางกำจัดขยะ พลาสติกเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด ซึ่งเป็นที่น่ายินดียิ่งที่มีนักวิจัยโปแลนด์ได้ คิดค้นเทคโนโลยี Polymer Energy ขึ้นมาเปลี่ยนขยะพลาสติกให้ลดลง ช่วยแก้วิกฤตทั้งสิ่งแวดล้อมและพลังงาน
         โดยบริษัท ซิ้งเกิ้ล พอยท์ เอ็นเนอยี่ แอนด์ เอ็นไวรอนเม้นท์ จำกัด ได้รับลิขสิทธิ์ในการนำเข้านวัตกรรมในการแปรรูปขยะพลาสติก เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงจากประเทศโปแลนด์ แต่ผู้เดียวในประเทศไทยและในกลุ่มประเทศอินโดจีน บริษัทจัดตั้งขึ้นโดยสัญญา Joint Venture ระหว่างบริษัท ซิ้ลเกิ้ล พอยท์ พาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และ Northern Technologies International Corporation (NTIC) สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเจ้าของสิทธิบัตรเทคโนโลยี ดังกล่าว (WO 2005/078049)

Polymer Energy Technology คืออะไร

Polymer Energy Technology เป็นนวัตกรรมใหม่ที่เป็นความร่วมมือระหว่างโปแลนด์และสหรัฐอเมริกา เพื่อการรีไซเคิลขยะพลาสติกให้เป็นน้ำมันดิบ ทดแทนการเผาที่ทำลายสิ่งแวดล้อมในระบบชั้นบรรยากาศ หรือ การฝังกลบที่ต้องใช้ระยะเวลานานมากกว่าขยะพลาสติกจะย่อยสลาย โดยนำไปผ่านกระบวนการ Depolymerization คือการสลายตัวของโครงสร้างโมเลกุลที่อุณหภูมิสูง ในบรรยากาศที่ไม่มีออกซิเจน ซึ่งโดยทั่วไปกระบวนการแปรรูปนี้มักเกิดที่อุณหภูมิต่ำกว่า 550 องศาเซลเซียส ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่เป็นไฮโดรคาร์บอนที่เป็นน้ำมัน ซึ่งต้องเข้าสู่กระบวนการกลั่นเพื่อนำมาใช้กับเครื่องยนต์ และผลิตภัณฑ์อีกส่วนหนึ่งที่เป็นแก๊สสามารถนำกลับมาใช้เป็นเชื้อเพลิงให้กับ กระบวนการผลิตในระบบ Polymer Energy ได้

 
ขั้นตอนทำงาน

เริ่มจากการป้อนขยะพลาสติกเข้าไปในเตาหลอม (Reactor) พร้อมกับตัวเร่งปฏิกิริยา (Catalyst) โดยใช้กระบอกสูบในแนวระนาบเข้าสู่ส่วนที่ทำให้หลอมเหลว จากนั้นวัตถุดิบในรูปของพลาสติกหลอมเหลวจะถูกดันต่อให้ไหลเข้าไปในแนวนอนยัง เตาหลอมเหลวที่ให้ความร้อนโดยท่อร้อน โดยที่พลาสติกที่ถูกหลอมเหลวอย่างต่อเนื่องนี้จะถูกทำให้ไหลต่อไปตามทาง เอียง โดยล้อหมุนหลายอันที่หมุนเป็นวงภายใต้ความถี่ที่พอเหมาะ ซึ่งช่วยส่งให้พลาสติกหลอมเหลวไหลเข้าไปข้างหน้าจนเกิดการแตกตัว โดยให้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นแก๊สหรือไอของสารไฮโดรคาร์บอนลอยออกมา หลังจากนั้นจะถูกส่งจากส่วนบนของเตาไปสู่หน่วยให้ความเย็นเพื่อควบแน่นเป็น น้ำมันเหลวออกมา ส่วนแก๊สที่ไม่ควบแน่นจะถูกส่งไปเผาไหม้ให้ความร้อนกับเตาหลอม ส่วนสิ่งปนเปื้อนที่ในรูปของเถ้าจะถูกกำจัดไปยังเครื่องทำความสะอาด อัตโนมัติ โดยเทคโนโลยีนี้สามารถรองรับการปนเปื้อนของพลาสติกได้ประมาณ 25-30 % ซึ่งประเภทของขยะพลาสติกประเภทโพลีโอเลฟิน เช่น HDPE LLDPE LDPE PE และ PP โดยมีอัตราการป้อนของวัตถุดิบต่อเครื่องประมาณ 3-5 กิโลกรัม ต่อครั้ง หรือประมาณ 300 กิโลกรัมต่อชั่วโมง และใช้พื้นที่ในการติดตั้งทั้งระบบเพียง 500 ตารางเมตรเท่านั้น
        

 
เจาะกลุ่มลูกค้าระดับท้องถิ่น
         เทคโนโลยีนี้นอกจากจะใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมที่มีขยะพลาสติกในปริมาณมากแล้ว ยังเหมาะสำหรับนำไปติดตั้งไว้ที่บ่อฝังกลบขยะขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ที่มีอยู่แล้วทั่วประเทศเพื่อลดปริมาณขยะและสร้างผลกำไรจากการรีไซเคิล ขยะพลาสติกให้เป็นน้ำมันอย่างคุ้มค่าการลงทุนสำหรับน้ำมันดิบที่ผลิตได้นั้น ทางบริษัทได้ร่วมมือกับโรงกลั่นในเครือ ปตท.และบางจากที่จะให้การสนับสนุนในการรับซื้อน้ำมันดิบที่ผลิตได้ภายใต้ คุณภาพที่ได้มาตรฐานและราคาที่เหมาะสม โดยทางผู้ผลิตสามารถดำเนินการให้รถบรรทุกมาส่งเองที่โรงกลั่นก็ได้ ซึ่งจะต้องมีการทำข้อตกลงเป็นรายๆ


          จะเห็นได้ว่านวัตกรรมใหม่นี้ นอกจากจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าด้านเศรษฐศาสตร์ต่อผู้ลงทุนแล้ว ยังเป็นทางเลือกใหม่ในการจัดการพลาสติกที่ใช้แล้ว ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม ส่วนรวมควบคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และยังช่วยประหยัดเงินตราที่ต้องนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงมาจากต่างประเทศที่ ปัจจุบันมีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ และเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่าและยั่งยืนที่ สุด

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สารพิษไดออกซินจากขยะ

สารพิษไดออกซิน

โดย ทศพล เปี่ยมสมบูรณ์ โทร.๐๘๙-๗๙๙-๑๒๑๒ สถาบันขยะวิทยาด้วยหัวใจ (สขจ.)
ไดออกซิน
ไดออกซิน เป็นชื่อสามัญของสารประกอบสารสองตระกูลที่เรียกว่า โพลีคลอริเนเตด ไดเบนโซไดออกซิน (PCDDs) และโพลีคลอริเนเตด ไดเบนโซ ฟิวแรน (PCDFs) สารเคมีที่จัดอยู่ในสองตระกูลนี้มี 210 ชนิด ซึ่งมี 17 ชนิดที่มีความเป็นพิษมากที่สุดเท่าที่เคยมีการผลิตขึ้นในห้องปฏิบัติการ หากสารเหล่านี้เป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ ก็อาจถูกสั่งห้ามผลิตหลายปีมาแล้ว แต่เคราะห์ร้ายอยู่ที่ว่าสารพิษซึ่งไม่เป็นที่ต้องการเหล่านี้เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตของอุตสาหกรรมที่มีอำนาจสูง รวมทั้งอุตสาหกรรมกระดาษ อุตสาหกรรมเคมี และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเผา (ไดออกซินเกิดขึ้นระหว่างที่สารประกอบอินทรีย์คลอรีนถูกเผาไหม้)
ไดออกซินเป็นสารรบกวนฮอร์โมนในมนุษย์
นักวิทยาศาสตร์อุตสาหกรรมมีข้อโต้แย้งว่า ไดออกซินก่อเกิดและอยู่กับพวกเรานับตั้งแต่การค้นพบไฟ และในขณะที่ไดออกซินเป็นพิษร้ายแรงต่อสัตว์นั้น หาได้เป็นอันตรายต่อมนุษย์มากมายนักเพราะร่างกายของเรามิได้เปราะบาง (อย่างสัตว์) อย่างไรก็ตามองค์กรพิทักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกา แสดงความไม่เห็นด้วยในเอกสารฉบับหนึ่งซึ่งเผยแพร่ในเดือนกันยายน พ.. 2537 หลังจากการตรวจเอกสารเรื่องไดออกซินอย่างละเอียดถี่ถ้วนเป็นระยะเวลาสามปี โดยนักวิทยาศาสตร์ภายในองค์กรและนักวิจัยชั้นนำเรื่องไดออกซินจากทั่วโลกและสรุปว่า
  1. ผลกระทบของสารพิษไดออกซินนั้นร้ายแรงกว่าที่เราคิดกันไว้
  2. ร่างกายดูดซึมไดออกซินส่วนใหญ่จากอาหาร และไดออกซินมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะจากการเผาขยะ
ดังนั้น คำถามประเภทไหน ซึ่งตั้งขึ้นมาในเวลาที่ถูกต้องอาจช่วยหลีกเลี่ยงอันตรายเหล่านี้? ด้วยการเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีตเราสามารถแนะนำสิ่งเหล่านี้ได้
  1. เมื่อธรรมชาติได้สร้างสารพิษที่ตกค้าง (ทั้งภายในร่างกายและระบบนิเวศ) สมควรแล้วหรือที่เราไม่ระมัดระวังต่อการนำสารพิษตกค้างปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะสารพิษที่สามารถละลายในไขมัน และสะสมในร่างกายสิ่งมีชีวิตและถ่ายทอดถึงกันในห่วงโซ่อาหาร
  2. มากไปกว่านั้น เมื่อธรรมชาติมิได้ก่อให้เกิดพันธะคาร์บอนคลอรีนของอินทรีย์เคมีในแม่น้ำ (อาจพบในหญ้าทะเล ราและพืชบางชนิด แต่พันธะนี้ไม่ปรากฏในสัตว์บกที่เลี้ยงลูกด้วยนม) สมควรแล้วหรือที่เราไม่ระมัดระวังการใช้คลอรีนในอุตสาหกรรม ปัจจุบันโลกผลิตคลอรีนปีละ 40 ล้านตัน และส่วนใหญ่นำไปใช้ในการผลิตสารเคมีจำพวกตัวทำละลาย สารกำจัดศัตรูพืชและพลาสติกโพลีไวนีลคลอไรด์ (PVC) สารประกอบอินทรีย์คลอรีนส่วนใหญ่เป็นสารที่ละลายได้ในไขมันและมีพิษตกค้างได้นานแสนนานในสิ่งแวดล้อม คอลบอร์นและคณะระบุว่าจากการวินิจฉัยสารรบกวนการทำงานของฮอร์โมนมากกว่าครึ่งเป็นสารประกอบอินทรีย์คลอรีน
การอบรมทางวิทยาศาสตร์ประเภทไหนที่ควรจะมีขึ้นเพื่อตระเตรียมนักวิทยาศาสตร์ให้ตั้งคำถามเหล่านี้ก่อนเกิดภัยพิบัติ แทนที่จะตั้งคำถามเมื่อความหายนะมาเยือน เราจะสอนให้นักเรียนวิทยาศาสตร์มี “สติปัญญา” เช่นเดียวกับที่มีความ “เฉลียวฉลาด” ได้อย่างไร? เป็นไปได้หรือไม่ที่วิทยาศาสตร์พื้นเมือง (ภูมิปัญญาท้องถิ่น) จะหนุนช่วยให้วิทยาศาสตร์ตะวันตกตระหนักต่อคำถามเหล่านี้? ควรมีใครสักคนจะวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้น “เจ็ดชั่วโคตร” ด้วยการตั้งคำถามเกี่ยวกับผลกระทบของสิ่งที่เรียกว่า “ตกค้าง” หรือไม่?