วันจันทร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554

ภัยใกล้ตัว

มลพิษและสารเคมีในบ้าน-ที่ทำงาน ผลกระทบระบบการหายใจ

ใน แต่ละปีประเทศไทยมีผู้ป่วยด้วยโรคภูมิแพ้กว่า 6 ล้านคน อันเนื่องมาจากสภาวะสิ่งแวดล้อมที่มีมลพิษมากขึ้น มลภาวะทางอากาศ และอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวกในบ้านและที่ทำงานหลายชนิดที่มีสารเคมีก่อ ปัญหาต่อสุขภาพ หลายคนอาจไม่ทราบว่าในบ้านหรือที่ทำงานนั้น มีมลพิษและสารเคมีอยู่รอบตัวโดยที่เรามองไม่เห็น ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคระบบการหายใจต่างๆ


ศาสตราจารย์นายแพทย์ อรรถ นานา
ศาสตราจารย์นายแพทย์ อรรถ นานา นายกสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ มลพิษและสารเคมีในบ้านและที่ทำงาน ซึ่งมีผลกระทบต่อโรคภูมิแพ้ ว่า ภูมิแพ้ คือ โรคระบบการหายใจอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ที่มีอาการไวผิดปกติต่อสิ่งซึ่ง สามารถก่อให้เกิดภูมิแพ้ (Allergen) โรคภูมิแพ้เกิดได้ทุกเพศทุกวัย ตัวการที่ทำให้เกิดอาการแพ้ เรียกกว่า สารก่อภูมิแพ้ (Allergens) สารก่อภูมิแพ้ที่พบได้บ่อย เช่น ตัวไรฝุ่น มักปะปนอยู่ในฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 0.3 มม. มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า พบมากในที่ๆ มีความชื้นสูง พบร่วมกับฝุ่นที่มาจากเสื่อ หมอน แม้ว่าบ้านสะอาดเพียงไรก็ไม่สามารถกำจัดไรฝุ่นได้หมด แต่ถ้าใช้เครื่องกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพสูงก็สามารถลดไรฝุ่นได้

เชื้อ รา มักปะปนอยู่ในบรรยากาศ ตามห้องที่มีลักษณะอับชื้น หรือภายในอาคาร หรือบ้านที่เปิดเครื่องปรับ อากาศตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่ไม่ได้ทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศสม่ำเสมอ เชื้อรายังเติบโตในถาดรองน้ำของเครื่องปรับอากาศ และหมุนเวียนอยู่ในห้องนานนับเดือนนับปี ทำให้สุขภาพของคนทำงานอ่อนแอลง เจ็บป่วยง่าย และภูมิต้านทานต่ำ

แมลง ต่างๆ ที่มักอาศัยอยู่ภายในบ้าน เช่น แมลงสาบ แมงมุม มด ยุง ปลวก และแมลงที่อาศัยอยู่นอกบ้าน เช่น ผึ้ง แตน ต่อ มดนานาชนิด เป็นต้น เศษผงขนาดเล็กที่มาจากแมลงเหล่านี้จะฟุ้งกระจายภายในห้อง และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

เกสรดอก หญ้า, ดอกไม้, ตอกข้าว และ วัชพืช สิ่งเหล่านี้มักปลิวอยู่ในอากาศตามกระแสลม ซึ่งสามารถพัดลอยไปได้ไกลๆ หรืออาจเป็นลักษณะขุยๆ ติดตามมุ้งลวดหน้าต่าง เกสรดอกหญ้าที่ปลิวมาตามสายลม


ขน สัตว์ ขนของสัตว์เลี้ยงเป็นต้นเหตุของโรคภูมิแพ้ เช่น ขนแมว ขนสุนัข ขนนก ขนเป็ด ขนสัตว์ที่ตากแห้งซึ่งใช้บรรจุยัดที่นอนและหมอน สำหรับนุ่น ฟองน้ำ ยางพารา ใยมะพร้าว เมื่อใช้ไปเป็นระยะเวลานานก็จะสามารถเป็นสารก่อภูมิแพ้

ส่วน สารเคมีต่างๆ ในบ้าน และที่ทำงานจากอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ และสิ่งแวดล้อมเป็นสาเหตุต่อโรคระบบการหายใจซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ของประชาชน เช่น สารแอมโมเนีย มีสถานะเป็นของเหลวหรือก๊าซ เป็นสารที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ละลายได้ดีในน้ำ ในแอลกอฮอล์ และในดีเทอร์ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ในอุตสาหกรรมอลูมิเนียม, ห้องปฏิบัติการเคมี, ทำสีย้อมผ้า, ทำปุ๋ย, ทำกาว, ฉาบด้านหลังกระจกเงา, ตู้เย็น และกำมะถัน นอกจากนี้ยังเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในบุหรี่อีกด้วย แอมโมเนียจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูกโดยการหายใจ มีอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งจะทำให้เป็นโรคปอดบวม ถุงลมโป่งพอง และ หลอดลมอักเสบ

สาร แอสแบสตอส เป็นแร่ประเภทเส้นใย ใช้ในกิจการอุตสาหกรรมเส้นใยแอสแบสตอส ผลิตวัสดุป้องกันความร้อน และผลิตกระเบื้อง แอสแบสตอสสามารถเข้าสู่ร่างกายได้โดยทางจมูก ซึ่งถ้าสูดดมฝุ่นแอสแบสตอสเข้าไปเป็นเวลานาน จะมีอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้ปอดแข็ง หอบ เหนื่อยง่าย ไอเรื้อรัง น้ำหนักลด เจ็บหน้าอก ก่อให้เกิดโรคมะเร็งเยื่อหุ้มปอด และโรคมะเร็งปอด


สาร เรดอน เป็นแร่ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เป็นสารกัมมันตภาพรังสี ก๊าซเรดอน สามารถเดินทางไปตามพื้นดินเข้าไปในอาคารและบ้านผ่านรอยแตกของบ้านหรืออาคาร เมื่อสูดดมสารเรดอนเข้าไปเป็นเวลานานจะทำให้เป็นโรคมะเร็งปอด หนทางป้องกันก๊าซเรดอนคือ ใช้ผ้ายางพิเศษปูพื้น เพื่อกันการระเหย หรือติดตั้งระบบระบายอากาศอย่างเพียงพอ

สารฟอร์มาลดี ไฮด์ เป็นสารที่มาจากเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน หรือสีทาบ้าน เมื่อเกิดการระเหยแล้วทำให้เป็นพิษต่อสุขภาพ หากสูดดมเข้าไปไม่ได้ทำให้เป็นมะเร็งโดยตรง แต่ทำให้เกิดการอักเสบของปอด และเมื่อปอดเป็นแผลเป็นมากๆ ก็จะมีโอกาศเป็นมะเร็งปอด

วิธี การป้องกันสารมลพิษ คือ หลีกเลี่ยงใช้งานเครื่องนอน พรม และเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากเส้นใยซึ่งมีอายุหลายปี เพื่อลดความเสี่ยงที่ต้องสัมผัสกับไรฝุ่น เลือกใช้ข้าวของที่เคลือบด้วยสารป้องกันไรฝุ่น การเช็ดล้างหรือดูดฝุ่นทำความสะอาดสม่ำเสมอ เป็นอีกวิธีที่สามารถไล่ไรฝุ่นได้ระดับหนึ่ง การซักเครื่องนอนเป็นประจำด้วยน้ำที่มีอุณหภูมิอย่างน้อย 55 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่สามารถฆ่าไรฝุ่นและกำจัดสารภูมิแพ้จากไรฝุ่นได้ดี หรือตากแดดเพื่อให้ไข่ไรฝุ่นที่ฝังตัวอยู่กับเครื่องนอนฝ่อได้ด้วย ส่วนสารเคมีต่างๆ เราสามารถป้องกันได้ โดย ไม่เข้าใกล้หรือสูดดมสารเคมีเหล่านี้ ผู้ที่ต้องทำงานกับสารเคมีควรตรวจและรักษาสุขภาพสม่ำเสมอ และควรจัดสถานที่ที่บ้าน ตลอดจนสถานที่ทำงานให้ปลอดภัยไม่ประมาทในขณะทำงาน และเก็บรักษาสารพิษในที่ปลอดภัย เป็นต้น


ศจ.นายแพทย์ อรรถ นานา กล่าวเพิ่มเติมว่า “มลพิษและสารเคมีในบ้านและที่ทำงานนั้นเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวและไม่ควร ละเลย เนื่องจากมีผลกระทบอย่างสูงต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน ทั้งคนทำงานและสมาชิกในครอบครัว

ทำให้แนวโน้มของผู้ ป่วยโรคระบบการหายใจเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น เราควรใส่ใจ ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมภายในบ้านและที่ทำงานเพื่อความปลอดภัยและสุขภาพ ที่ดี ในขณะนี้ทางสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมโรคระบบการหายใจภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ 13 19-22 พฤศจิกายน 2551นี้ ซึ่งอยู่ในระหว่างการเตรียมงาน ในขณะนี้มีความคืบหน้า คือ เราได้เตรียมการสถานที่จัดประชุม ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และที่พักโรงแรม กว่า 2,000 ห้องเพื่อรองรับผู้จะเข้าร่วมประชุมกว่า 2,000 คน จากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก

ใน การประชุมครั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพชั้นนำของโลกจะมาแลกเปลี่ยนข้อ คิดเห็นในเรื่องโรคระบบการหายใจ รวมถึงนวัตกรรมทางการแพทย์ใหม่ๆ ในการรักษาผู้ป่วยโรคนี้ เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น”

กาแฟมีประโยชน์ หรือโทษกันแน่

คาเฟอีนในกาแฟ มีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด


คาเฟอีนในกาแฟ มีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด คาเฟอีนมีผลต่ออารมณ์หลายคนเลือกดื่มกาแฟเมื่อ ต้องทำงานยอมดึก คาเฟอีนจะกระตุ้นให้ร่างกาย และ สมองตื่นตัวอยู่เสมอ แม้เวลาผ่านไปดึกดื่นแค่ไหนก็ไม่รู้สึกเหนื่อยเพลียหรือง่วงนอนแต่ผลวิจัย ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า จำนวนคาเฟอีนที่ส่งผลดีกับการทำงานของร่างกายต้องไม่เกิน 20 มิลลิกรัมต่อชั่วโมง ซึ่งถือว่ามาตราฐานนักวิจัยยังเห็นด้วยกับการดื่มกาแฟในตอนเช้าเพื่อเริ่ม ต้นวันใหม่อย่างกระฉับกระเฉง แต่ไม่ควรเกิน 200 มิลลิกรัม หรือ ประมาณ 2 แก้วครึ่ง เพราะ จะทำให้ประสาทตึง และ หย่อนสมรรถภาพ ทำให้ความดันเลือดสูงชั่วคราว หรือ รู้สึกใจสั่น โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาด้านอารมณ์ คาเฟอีนจะยิ่งทำให้รู้สึกกระวนกระวายใจแคลอรีนในคาเฟอีนคาเฟอีนมีผลต่อ ฮอร์โมนอะดรีนาลินในผู้ที่เล่นกีฬา ขณะเดียวกันก็ทำให้ร่างกายตื่นตัวและมีพลัง ดังนั้นแนะนำให้ดื่มกาแฟหนึ่งแก้วใหญ่ (คาเฟอีน 100 มิลลิกรัม ) ก่อนออกกำลังประมาณครึ่งชั่วโมง ช่วยทำให้กระชุ่มกระชวย แต่ไม่ทำให้ใจสั่นการดื่มกาแฟโดยไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหนัก ควนผสมนมไขมันต่ำ หรือ นมถัวเหลือง ลดจำนวนน้ำตาลลง เพียงเท่านี้ก็สามารถจำกัดแคลอรีให้ลดลงได้ประมาณ 50 แคลอรีต่อวันป้องกันโรคด้วยคาเฟอีนคาเฟอีนไม่ได้มีผลในการป้องกันโรค แต่เครื่องดื่มคาเฟอีนที่มีสารแอนติออกซิแดนท์ เช่น ชาดำ หรือ ชาเขียว กลับช่วยป้องกันโรคทางลำไส้ และต้านอนุมูลอิสระได้มากกว่าผัก และผลไม้หลายชนิด การดื่มชาดำยังช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเช่นโรคหัวใจ และ เส้นเลือดอุดตัน ในขณะที่น้ำชาปราศจากคาเฟอีนไม่ได้ช่วยลดอัตราการเสี่ยงต่อโรคดังกล่าวผลการ ศึกษาเรื่องคาเฟอีนจากสถาบันวิจัยหลายแห่งพบว่า ประโยชน์ของชา และ กาแฟมีเท่า ๆ กันกาแฟช่วยปรับให้ระดับอินซูลินคงที่และลดอัตราการเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบา หวานชนิดที่ 2 , โรคพาร์กินสัน, และ มะเร็งที่สำไส้อีกด้วยคาเฟอีนยังมีประสิทธิภาพทำให้เส้นเลือดที่ขยายออกหด ตัวกลับสู่ภาวะปกติบรรดายาแก้ปวดทั้งหายจึงมีส่วนผสมของคาเฟอีนเพื่อช่วยลด การปวดไมเกรน หรือ ปวดศรีษะทั่วไป ขณะเดียวกันก็ทำให้เสพติด แม้จะไม่หนักหนาเหมือนยาเสพติดชนิดอื่น ๆ แต่เมื่อไรที่รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า หรือ ปวดหัว คนจะหันไปพึ่งคาเฟอีนเสมอ และ ในปริมาณที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ผลข้างเคียงที่ตามมาคือ ใจสั่น สมาธิสั้นคลื่นไส้ อาเจียน กล้ามเนื้อตึงและปวด และ อาจทำให้ปวดไมเกรนได้

อย่า!กลืนกินยาสีฟันนะ

     อย่ากลืนกินยาสีฟันนะ!

 เพราะส่วนผสมของยาสีฟันที่หากเราได้รับเข้าสู่ร่างกายมากเกินไปนั้น จะเป็นอันตราย
มีอยู่หลายชนิด...ดูซิว่ามีอะไรบ้าง


Formaldehyde หรือฟอร์มาลีน ใช้ฆ่าเชื้อโรค มากเกินไปอาจทำให้ตับและไตพังก่อนเวลา
Peppermint Oil น้ำมัน สาระแหน่ ทำให้ยาสีฟันมีรสชาติดีขึ้น เมื่อสูดดมทำให้โล่งจมูก รู้สึกสดชื่น  หากกลืนกินมากๆจะทำให้ชีพจรปั่นป่วน Paraffin พาราฟิน หรือ เคโรซีน เป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเลี่ยมซึ่งกลั่นแยกออกจากน้ำมันดิบ ช่วยในกสรเคลือบผิว เพิ่มความชุ่มชื้น ช่วยขจัดคราบสกปรก โดยหากกลืนสารนี้มากไปอาจเกิดอาการปวดท้องคลื่นไส้อาเจียร และท้องผูกอย่างรุนแรง